Work Life Balance ไม่ใช่แค่คำศัพท์ติดปากของพนักงานยุคนี้เท่านั้น แต่เป็นรากฐานสำคัญของชีวิตที่มีคุณภาพและความสุขในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การทำงานและการใช้ชีวิตเริ่มกลืนเข้าหากันจนแยกได้ยาก
บทความนี้จะเจาะลึกว่า Work Life Balance คืออะไร มีความสำคัญต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานอย่างไร พร้อมทั้งแนะนำสัญญาณเตือนที่คุณต้องเริ่มสังเกต และวิธีการสร้างสมดุลชีวิตที่เหมาะสมกับตัวคุณเองอย่างแท้จริง
Key Takeaways
- Work Life Balance คือการบริหารพลังงานในชีวิตส่วนตัวและการทำงานไม่ให้ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อกัน โดยสมดุลจะปรับเปลี่ยนไปตามจังหวะชีวิตแต่ละช่วง
- การรักษา Work Life Balance ช่วยลดความเครียด ภาวะ Burnout และปัญหาสุขภาพร้ายแรง ทำให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี
- เริ่มต้นสร้าง Work Life Balance ด้วยการบริหารจัดการ ตั้งเป้าหมายงาน จัดลำดับความสำคัญ และกำหนดเวลาทำงาน-พักผ่อนให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้งานรุกเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัว
Work Life Balance คืออะไร

Work Life Balance (WLB) คือ สมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว มีเวลาทำงานที่เหมาะสม และมีเวลารีแล็กซ์ ผ่อนคลายที่ไม่ส่งผลกระทบกับงาน โดยที่ทั้งสองส่วนไม่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อกัน สมดุลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการแบ่งเวลาแบบ 50:50 หรือการจัดสรรแบบ 8:8:8 เสมอไป แต่คือการบริหารจัดการพลังงานและการให้ความสำคัญตามจังหวะชีวิต ณ ขณะนั้น
บางช่วงอาจต้องทุ่มเทให้งานมาก เช่น ช่วงสร้างธุรกิจ แต่ถ้าการทำงานนั้นไม่ทำลายสุขภาพ ความสัมพันธ์ หรือชีวิตส่วนตัวโดยรวม ก็ยังถือว่ามี Work Life Balance อยู่ การจะเป็น Work ไร้ Balance หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าการทำงานส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมอย่างไร
Work Life Balance สำคัญอย่างไร
Work Life Balance หรือบาลานซ์ชีวิตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพนักงานแต่ละคน เพราะมันเป็นรากฐานของการดูแลสุขภาพ ทำให้ชีวิตที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีในระยะยาว การรักษาสมดุลนี้ช่วยให้เราไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในอาชีพ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสุข สุขภาพที่ดี และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในชีวิตส่วนตัว โดยข้อดีของ Work Life Balance เช่น
- สุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น: ช่วยลดความเครียด ความเหนื่อยล้า มีเวลาพักผ่อน และลดความเสี่ยงของภาวะ Burnout รวมถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
- ความพึงพอใจในชีวิตส่วนตัว: มีเวลาเพียงพอสำหรับชีวิตส่วนตัว (Personal Life) กิจกรรมพักผ่อน งานอดิเรก หรือการดูแลตนเอง ช่วยเพิ่มคุณค่าและความสุขในชีวิตโดยรวม ตลอดจนส่งเสริมการมี Longevity ที่ยืนยาว
- ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น: การพักผ่อนที่เพียงพอและการมีชีวิตส่วนตัวที่เติมเต็ม เป็นวิธีการสร้างสมดุลของสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ทำให้มีพลังกายพลังใจ ส่งผลให้เกิดสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหาที่เพิ่มขึ้นขณะทำงาน
- สัมพันธภาพที่ดีขึ้น: มีเวลาให้กับครอบครัวและเพื่อนฝูง ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน
- การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง: มีเวลาสำหรับการเรียนรู้ ทักษะใหม่ ๆ หรือการพัฒนาความสนใจส่วนตัว ซึ่งเป็นการลงทุนในอนาคตของตนเอง
สัญญาณเตือนว่ากำลังขาด Work Life Balance มีอะไรบ้าง

แม้ว่าการทำงานหนักในช่วงเวลาหนึ่งจะเป็นเรื่องปกติ แต่การปล่อยให้การทำงานกลืนกินชีวิตส่วนตัวอย่างต่อเนื่องเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าคุณกำลังขาด Work Life Balance และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนเหล่านี้ จะช่วยให้คุณปรับสมดุลก่อนที่จะนำไปสู่ภาวะหมดไฟหรือปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้
- งานล้นมือและจัดการเวลาไม่ได้: คุณมีงานค้างอยู่ตลอดเวลา มีงานด่วนเข้ามาบ่อยจนรู้สึกเครียด ไม่สามารถจัดสรรเวลาได้อย่างลงตัว หรือรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็น Workaholic คือชีวิตที่มีแต่งาน งาน และงาน
- ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง: คุณทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้งานจนละเลยสุขภาพ เช่น งดการออกกำลังกาย ทานอาหารเร่งด่วนเป็นประจำ ตารางนอนรวน หรือแม้กระทั่งลืมทานอาหาร และไม่มีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมที่ชอบเลยแม้แต่วันหยุด
- อารมณ์แปรปรวนและวิตกกังวล: ความเครียดสะสมจากการทำงานหนักส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้คุณหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย และอาจมีอาการวิตกกังวลร่วมด้วย
- เบื่อหน่ายและหมดไฟ (Burnout): คุณรู้สึกหมดแรงบันดาลใจในการทำงาน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง รู้สึกเหนื่อยล้ากับงานอย่างรุนแรง รวมถึงมีสัญญาณการนั่งหลับในที่ทำงาน เป็นสัญญาณนำไปสู่ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome)
- รู้สึกโดดเดี่ยวและสัมพันธ์แย่ลง: การใช้เวลากับงานมากเกินไปทำให้ขาดการติดต่อสื่อสารกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดี
- กังวลว่าตัวเองไม่เก่งพอ: คุณมีความหมกมุ่นกับงานมากเกินไป และมีความคิดที่ว่าตนเองทำงานได้ไม่ดีพอ หรือกังวลเกี่ยวกับคุณภาพงานอยู่ตลอดเวลา
สร้าง Work Life Balance ให้กับตัวเองได้อย่างไร
การสร้าง Work Life Balance เป็นเรื่องของการลงมือทำและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างมีสติ เพื่อให้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวสามารถเดินควบคู่กันไปได้อย่างราบรื่น การจัดระเบียบชีวิตด้วยแนวทางที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณควบคุมความเครียด และเติมเต็มพลังงานให้พร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย
1. บริหารเวลาการทำงานที่เหมาะสม

การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพคือรากฐานของ Work Life Balance เริ่มจากการตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญของงานในแต่ละวันให้ชัดเจน กำหนดเวลาทำงานและเวลาพักเบรกให้เป็นกิจวัตร เพื่อป้องกันไม่ให้งานล้ำเส้นเข้ามาในเวลาส่วนตัว เมื่อคุณควบคุมเวลาทำงานได้ งานก็จะไม่ล้นมือจนเกิดความเครียดสะสม
2. ให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัว

การเป็น Workaholic คือสิ่งที่หลายบริษัทใฝ่หา แต่เมื่อถึงเวลาพักผ่อนแล้ว คุณควรพักผ่อนอย่างเต็มที่และเรียนรู้ที่จะหยุดคิดเรื่องงาน การนำงานกลับไปทำต่อที่บ้านหรือในวันหยุดจะทำให้ร่างกายและสมองไม่ได้พักอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเครียดเรื้อรังและภาวะหมดไฟจากการขาด Work Life Balance นอกจากนี้ ควรอุทิศเวลาเพื่อใช้เวลากับครอบครัวและคนรอบตัวมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
3. จัดโต๊ะทำงานให้ถูกหลัก Ergonomics

การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อสุขภาพกาย เลือกใช้โต๊ะที่มีความสูงที่พอดี (70−80 ซม.) ใช้เก้าอี้หรือนั่งทำงานเบา ๆ บนโซฟาที่ถูกออกแบบตามหลัก Ergonomics เพื่อรองรับสรีระได้อย่างถูกต้อง ปรับท่านั่งให้หลังตรง เท้าติดพื้น และระดับสายตาพอดีกับหน้าจอ เพื่อลดอาการปวดเมื่อยที่ต้นเหตุ และป้องกันปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาว
เพื่อให้การพักผ่อนระหว่างวันมีคุณภาพและช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้อย่างแท้จริง ลองพิจารณาโซฟาปรับนอน 1 ที่นั่งจาก Ollu Thailand รุ่น FLOW โซฟาที่ตอบโจทย์การนั่งพักผ่อนหลังทำงานนาน ๆ จนรู้สึกปวดเมื่อย
โซฟาพักผ่อน FLOW มีโหมดพิเศษ Zero Gravity Mode ที่ช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้อยู่ในท่าที่ลดแรงกดทับต่อกระดูกสันหลัง ทำให้คุณสามารถเอนกายพักผ่อนได้ในระยะยาวแบบไม่ปวดหลัง และยังถูกออกแบบตามหลัก Ergonomics อย่างแท้จริง มีให้เลือกถึง 6 โหมด เปลี่ยนเป็นเก้าอี้พักผ่อนได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
4. ใส่ใจสุขภาพกายและใจให้มากขึ้น

การดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและพร้อมสำหรับวันทำงานถัดไป
5. หางานอดิเรกทำในเวลาว่าง

การมีงานอดิเรกเป็นวิธีที่ดีในการปลดล็อกตัวเองออกจากเรื่องงานโดยสิ้นเชิง ลองหากิจกรรมที่คุณรักและสนใจ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร เล่นดนตรี หรือดูงานศิลปะ การใช้เวลาทำในสิ่งที่เติมเต็มความสุขจะช่วยให้คุณได้พักผ่อนอย่างมีคุณภาพและช่วยลดความเครียดที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Work Life Balance สร้างสมดุลชีวิตและการทำงาน เพื่อความสุขที่ยั่งยืน
Work Life Balance ไม่ใช่แค่การแบ่งเวลา 50:50 แต่คือการบริหารจัดการพลังงานและกำหนดความสำคัญตามจังหวะชีวิต เพื่อให้การทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวเกื้อหนุนกันและไม่ทำลายสุขภาพโดยรวม การขาด WLB นำไปสู่ความเครียดสะสม ภาวะหมดไฟ และปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจ การสร้างสมดุลเริ่มต้นจากการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและการดูแลตัวเอง การมี WLB ที่ดีจะช่วยให้คุณมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น และมีความสุขกับชีวิตที่ยืนยาวอย่างแท้จริง
การลงทุนในคุณภาพการพักผ่อนคือหัวใจสำคัญของการมี Work Life Balance ที่ดี Ollu Thailand เข้าใจถึงความต้องการนี้ จึงได้นำเสนอทางเลือกในการพักผ่อนที่ถูกหลักสรีรศาสตร์อย่างแท้จริง ด้วยโซฟาพักผ่อนที่ถูกหลัก Ergonomics รุ่น FLOW ที่มาพร้อม Zero Gravity Mode เอกลักษณ์เฉพาะตัว โหมดนี้จะช่วยปรับสรีระของคุณให้อยู่ในตำแหน่งที่ลดแรงกดทับต่อกระดูกสันหลังสูงสุด ทำให้คุณสามารถเอนกายพักผ่อนได้อย่างสบายและยาวนานโดยไม่ปวดเมื่อย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังการทำงานหนัก
ติดต่อสอบถาม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่
- Website : https://olluthailand.com/
- Line : @olluthailand
- Facebook : olluthailand
- Instagram : olluthailand
- Tel : 02-7399570
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Work Life Balance
พนักงานที่ทำงานจากบ้าน (Remote Work) จะรักษา Work Life Balance ได้ดีกว่าหรือไม่?
ไม่เสมอไป การทำงานจากที่บ้านทำให้เส้นแบ่งเวลาเบลอลงได้ง่าย อาจทำงานเกินเวลาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น พนักงานต้องมีวินัยในการกำหนดเวลาทำงาน-พักผ่อน และรู้จัก “ปิด” ระบบการทำงานให้ชัดเจน
Work Life Balance ของแต่ละคนเหมือนกันหรือไม่?
ไม่เหมือนกันเลย สมดุลเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ขึ้นอยู่กับค่านิยม อายุ สถานะครอบครัว และเป้าหมายในชีวิต ณ ขณะนั้น ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า “สมดุล” สำหรับคนหนึ่ง อาจไม่สมดุลสำหรับอีกคนก็ได้
Work Life Balance ขึ้นอยู่กับองค์กรหรือตัวพนักงานเองเป็นหลัก?
ขึ้นอยู่กับทั้งสองส่วน องค์กรมีหน้าที่กำหนดนโยบายที่ยืดหยุ่นและสนับสนุน แต่ตัวพนักงานเองก็ต้องรับผิดชอบในการจัดสรรเวลา จัดลำดับความสำคัญ และเรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานเพื่อรักษาสมดุลส่วนตัว
Work Life Harmony คืออะไร?
Work Life Harmony คือแนวคิดที่ปรับปรุงมาจาก Work Life Balance โดยเน้นการผสมผสาน (Integration) ระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว แทนที่จะพยายามแบ่งแยกแบบตายตัว (50:50) ความ Harmony เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองส่วนสามารถไหลเวียนและเกื้อกูลกันได้ตามความต้องการและช่วงชีวิตของแต่ละคน เช่น การที่คุณสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ และจัดการตารางเวลาให้สอดคล้องกับกิจกรรมส่วนตัวได้อย่างยืดหยุ่น
Retreat คืออะไร เกี่ยวกับ Work Life Balance ไหม?
Retreat คือ การเดินทางไปพักผ่อนหรือทำกิจกรรมในสถานที่ที่สงบและแตกต่างจากสภาพแวดล้อมเดิม มักใช้เวลาหลายวัน เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง
Retreat เกี่ยวข้องอย่างมากกับ Work Life Balance เนื่องจากเป็นการตั้งใจจัดสรรเวลาเพื่อหลีกหนีจากความเครียดและความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน (โดยเฉพาะงาน) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเติมพลังและรักษาสมดุลชีวิต มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันภาวะหมดไฟ (Burnout) และเพิ่มความชัดเจนในความคิด
